IMG 5522

 

กรมสุขภาพจิต เน้นย้ำ 5 สัญญาณเตือนอาจมีปัญหาจิตเวช ชี้ พ.ร.บ. สุขภาพจิต สามารถกำหนดให้บุคคลที่มีสัญญาณเสี่ยงป่วยด้านจิตเวชเข้ารับการบำบัดได้
         วันนี้ (23 ตุลาคม 2567) จากกรณีที่มีผู้ป่วยจิตเวชที่ขาดการรักษา ก่อเหตุความรุนแรงต่อบุคคลอื่นในจังหวัดมหาสารคามนั้น กรมสุขภาพจิตชี้ พ.ร.บ. สุขภาพจิตสามารถกำหนดให้บุคคลที่เสี่ยงป่วยจิตเวชเข้ารับการบำบัดได้ ซึ่งอาการป่วยทางจิตเวชสามารถป้องกัน อาการกำเริบได้โดยการกินยาและดูแลรักษาต่อเนื่องไม่ขาดยาร่วมกับการงดสุรา/สารเสพติด พร้อมมีช่องทางในการรักษาและรับบริการสำหรับประชาชนทั้งกระบวนการรับแจ้งอย่างครอบคลุม พร้อมแนะนำ 5 วิธีการสังเกตุสัญญาณเสี่ยง และ 4 วิธีหลีกหนีเพื่อไม่ให้ตกเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง

        นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า กรมสุขภาพจิตได้รับการประสานข้อมูลว่า ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไป รับเรื่องร้องเรียนและตรวจสอบที่เกิดเหตุ มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากโรงพยาบาลด้านจิตเวชที่เกี่ยวข้องเข้าไปทำการติดตามและดูแลผู้ป่วย อย่างใกล้ชิดแล้ว และได้มีการมอบหมายให้ 1.ให้การรักษาตามแนวทางการดูแลผู้ป่วยยาเสพติด 2.วางแผนให้ผู้ป่วยเข้าโปรแกรมจิตสังคมบำบัดสำหรับผู้ติดสุราหลังอาการทางจิตสงบ 3.สร้างความรอบรู้แก่ญาติและผู้ดูแลเกี่ยวกับการดูแลให้ผู้ป่วยรับการรักษาต่อเนื่อง งดใช้สารเสพติด เฝ้าระวังสัญญาณเตือนความผิดปกติทางจิต และการดูแล ส่งต่อ 4.ติดตามดูแลต่อเนื่องตามแนวทางการดูแลผู้ป่วย SMI-V ตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิต ได้มีการกำหนดกฎหมายเพื่อคุ้มครองประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งประชาชนหลายฝ่ายอาจจะมีความกังวลและตระหนกจากการก่อเหตุรุนแรงดังกล่าว ซึ่งกรมสุขภาพจิตขอย้ำว่า หากประชาชนทุกท่านพบผู้ที่มี 5 สัญญาณเตือนอันตราย คือ นอนไม่หลับ เดินไปมา พูดคนเดียว หงุดหงิดฉุนเฉียว และหวาดระแวง ที่บ่งบอกถึงความจำเป็นที่ต้องเข้ารับการรักษา สามารถใช้แนวทาง 4 วิธีเพื่อหลีกหนีและป้องกันการตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง ที่จะเกิดขึ้นได้โดย 1.มองหาพื้นที่ที่ปลอดภัย หลีกหนีจากบริเวณที่ทำให้เกิดความเสี่ยง เช่น ที่ลับตาคน หรือที่เป็นจุดอับ 2.ตั้งสติและให้เวลา กับตนเองเพื่อเข้าใจสภาพแวดล้อมและสภาพจิตใจ และปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยเหตุผล 3.ขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างหรือบุคคลใกล้ชิด โดยไม่เขินอาย และไม่ปล่อยให้ล่วงเลยไปยาวนาน 4.ดูแลจิตใจตัวเองด้วยการนึกถึงหรือทำกิจกรรมที่ดีหรือที่มีความรู้สึกปลอดภัย กรมสุขภาพจิตอยากให้ทุกท่านตระหนักถึงความปลอดภัยของตนเองเป็นที่ตั้งโดยไม่ตระหนก ศึกษาหาข้อมูล และดูแลสภาพแวดล้อมของตนเองให้เหมาะสมเสมอ เพื่อความปลอดภัยจากความเสี่ยงที่จะตกเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง

     มมมนายแพทย์กิตติศักดิ์ กล่าวต่ออีกว่า ซึ่งตามมาตรา 22 บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตกรณีใดกรณีหนึ่งนี้ เป็นบุคคลที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา คือ 1.มีภาวะอันตราย และ 2.มีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา โดยมาตรา 23 ผู้ใดพบบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์อันน่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีลักษณะตามมาตรา 22 ให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจโดยไม่ชักช้า และให้นำผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตส่งสถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยอาการ หากประชาชนท่านใดพบบุคคลใกล้ชิด หรือบุคคลทั่วไปที่แสดงอาการผิดปกติหรือ มีอาการกำเริบ หากมีแนวโน้มความรุนแรงมากและเป็นอันตราย สามารถโทรแจ้งเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ/ฝ่ายปกครอง/เจ้าหน้าที่สาธารณสุข สายด่วนตำรวจ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ในกรณีที่ต้องการรักษาและอาการไม่รุนแรง สามารถโทรขอคำปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323
      กรมสุขภาพจิตอยากให้ทุกท่านตระหนักถึงความปลอดภัยของตนเองเป็นที่ตั้งโดยไม่ตระหนก ศึกษาหาข้อมูล และดูแลสภาพแวดล้อม ของตนเองให้เหมาะสมเสมอ เพื่อความปลอดภัยจากความเสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อความรุนแรง กรมสุขภาพจิต ขอให้ประชาชนทุกคนเข้าใจและให้โอกาสผู้ป่วยจิตเวช ให้สามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ในสังคมอย่างเป็นปกติ เพราะผู้ป่วยจิตเวชเป็นเพียงผู้ที่มีอาการการเจ็บป่วยชนิดหนึ่ง ไม่ได้หมายถึงเป็นผู้ที่ไร้ความสามารถ หากได้รับการดูแลสนับสนุนและได้รับโอกาสดีๆ จากญาติ ผู้นำชุมชนและ คนรอบข้าง ก็สามารถที่จะใช้ชีวิตตามปกติได้ และหากเมื่อใดที่มีอาการกำเริบ ให้นำส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ปรับการรักษาก็จะทำให้ คนในชุมชนและสังคมมีความสุขและปลอดภัย


(23 ตุลาคม 2567)