Press ข่าววันที่ 10 ตุลาคม 2568
- วันเผยแพร่
- ฮิต: 240
กรมสุขภาพจิต ขับเคลื่อนแนวคิด “รอบรู้สุขภาพใจ ในภาวะวิกฤต” เนื่องในวันสุขภาพจิตโลก
วันนี้ (10 ตุลาคม 2568) กรมสุขภาพจิตเผยแนวคิด “รอบรู้สุขภาพใจ ในภาวะวิกฤต” เนื่องในวันสุขภาพจิตโลก 10 ตุลาคม มุ่งเสริมความเข้าใจด้านสุขภาพจิตให้ประชาชนทุกช่วงวัย รู้เท่าทันอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น พร้อมสร้างความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์เปลี่ยนแปลง เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันทางใจอย่างยั่งยืน
นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เนื่องในวันสุขภาพจิตโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ตุลาคมของทุกปี องค์การอนามัยโลกได้กำหนดวันนี้เพื่อกระตุ้นให้ทั่วโลกตระหนักว่า “สุขภาพจิตสำคัญเทียบเท่าสุขภาพกาย” สุขภาพจิตหมายถึงภาวะที่บุคคลสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข เข้าใจและจัดการอารมณ์ของตนเองได้อย่างเหมาะสม และปรับตัวต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี แตกต่างจากโรคทางจิตเวชซึ่งเป็นภาวะเจ็บป่วย ทั้งนี้ ปัญหาสุขภาพจิตสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนจากหลากหลายปัจจัย ทั้งความเครียด ความกดดัน ปัญหาเศรษฐกิจ หรือสังคมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลข่าวสารกระจายตัวสูง ก่อให้เกิดภาวะอ่อนไหวทางใจได้ง่าย กรมสุขภาพจิตขอสนับสนุนแนวคิด “รอบรู้สุขภาพใจ ในภาวะวิกฤต” ซึ่งสอดรับกับนโยบายของนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่มุ่งให้ประชาชนมีความรอบรู้ สามารถดูแลสุขภาพกายและใจตนเองได้อย่างเหมาะสม พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน กรมสุขภาพจิตจึงขับเคลื่อนแนวคิดนี้เพื่อเสริมทักษะให้ประชาชนเข้าใจสุขภาพจิตของตน รู้เท่าทันอารมณ์ และเข้าถึงความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม อันเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้สังคมไทยอย่างยั่งยืน
ดร.นายแพทย์วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ ผู้อำนวยการสำนักความรอบรู้สุขภาพจิต กล่าวว่า การเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตควรเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก โดยเด็กแต่ละช่วงวัยมีการรับรู้และการแสดงออกต่อเหตุการณ์วิกฤตแตกต่างกัน เด็กเล็กมักแสดงความกลัวหรือร้องไห้เมื่อรู้สึกไม่ปลอดภัย ผู้ปกครองจึงควรให้ความมั่นใจด้วยการกอด พูดคุย และจัดกิจกรรมง่าย ๆ เช่น วาดภาพหรือระบายสี เพื่อช่วยให้สงบใจ ส่วนเด็กวัยเรียนมักมีความเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น อาจเกิดความเครียดจากสิ่งที่ได้ยินหรือเห็น พ่อแม่และครูควรสื่อสารด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิดเห็น และทำกิจกรรมกลุ่มที่ส่งเสริมการช่วยเหลือกัน เพื่อให้เกิดการฟื้นฟูใจร่วมกัน
นายแพทย์กิตติ์กวี โพธิ์โน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา กล่าวว่า วัยทำงานเป็นกลุ่มที่เผชิญแรงกดดันสูง ทั้งจากภาระครอบครัว หน้าที่การงาน และภาวะเศรษฐกิจ เมื่อเผชิญเหตุการณ์สูญเสีย เช่น งาน บ้าน หรือคนใกล้ชิด ควรได้รับการดูแลฟื้นฟูจิตใจอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง ที่ทำงานสามารถเป็น “Safe Zone ใจ” ได้ โดยการจัดให้มีพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุย มีช่องทางให้ขอคำปรึกษา และส่งเสริมกิจกรรมสร้างสมดุลชีวิต การรับฟังอย่างเข้าใจ การไม่ตัดสิน และการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงานและผู้บริหาร ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้บุคลากรกลับมามีพลังใจที่เข้มแข็งและพร้อมทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
นายแพทย์ธิติพันธ์ ธานีรัตน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนสราญรมณ์ กล่าวว่า ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางทางใจมากกว่าวัยอื่น โดยเฉพาะในภาวะวิกฤตที่อาจสูญเสียคนใกล้ชิดหรือรู้สึกโดดเดี่ยว การดูแลสุขภาพกายและใจจึงควรดำเนินไปควบคู่กัน เช่น การออกกำลังกายเบา ๆ การทำกิจกรรมที่สร้างความสุข และการมีส่วนร่วมในชุมชน เพื่อให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตนเองยังมีคุณค่าและมีบทบาทต่อสังคม การเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุได้พูดคุย แบ่งปันประสบการณ์ และมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูจิตใจของผู้อื่น จะช่วยสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง และเสริมสร้างสุขภาพใจที่เข้มแข็งให้ดำรงชีวิตอย่างมีความสุขในสังคม
********************
10 ตุลาคม 2568