Press ข่าววันนี้ 3 ตุลาคม 2568
- วันเผยแพร่
- ฮิต: 130
กรมสุขภาพจิต เผยผลการสำรวจอุณหภูมิใจของประชาชนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งไทย–กัมพูชา กลุ่มใกล้จุดปะทะยังมีความเสี่ยงสูง
วันนี้ (3 ตุลาคม 2568) กรมสุขภาพจิตเผยผลสำรวจอุณหภูมิใจประชาชนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา ครอบคลุมช่วงการปะทะ ช่วงเดือนแรกหลังหยุดยิง และช่วงเวลาหยุดยิงประมาณ 2 เดือน พบว่าแนวโน้มอารมณ์ค่อนข้างรุนแรงลดลงต่อเนื่อง จากร้อยละ 25.8 เหลือร้อยละ 14.4 ขณะเดียวกัน กรมสุขภาพจิตได้ดำเนินมาตรการเฝ้าระวังและติดตามสุขภาพจิตของกลุ่มเสี่ยงอย่างใกล้ชิด พร้อมส่งเสริมความร่วมมือในชุมชนผ่าน “วัคซีนใจในชุมชน Safe–Calm–Hope–Care” อีกทั้งขอขอบคุณ
ทุกภาคส่วนและประชาชนที่มีส่วนร่วมในการสำรวจและติดตามสภาพจิตใจประชาชน
นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย–กัมพูชา กรมสุขภาพจิตมีความห่วงใยต่อสุขภาพจิตของประชาชน จึงได้ดำเนินการสำรวจอุณหภูมิใจใน 3 ช่วงเวลา ได้แก่ ช่วงการปะทะ วันที่ 4 สิงหาคม 2568 ช่วงเดือนแรกหลังหยุดยิง วันที่ 26 สิงหาคม 2568 และช่วงเวลาหยุดยิงประมาณ 2 เดือน ระหว่างวันที่ 26 – 30 กันยายน 2568 ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนที่มีอารมณ์ค่อนข้างรุนแรงลดลงอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 25.8 เหลือร้อยละ 15.6 และร้อยละ 14.4 ตามลำดับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระยะเวลาที่ผ่านไปหลังเกิดเหตุการณ์มีผลต่อระดับอุณหภูมิใจของประชาชน ทำให้ประชาชนทั่วไปมีอารมณ์ปกติเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลุ่มที่มีอารมณ์รุนแรงลดลงอย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์จุมภฏ พรมสีดา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การสำรวจครั้งนี้ได้ศึกษากลุ่มประชาชนในพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบ พบว่า กลุ่มที่เคยอพยพไปอยู่ในศูนย์พักพิง มีอารมณ์ค่อนข้างรุนแรงร้อยละ 22.9 ส่วนประชาชนที่อยู่อาศัยใกล้ชายแดนและเป็นจุดปะทะ มีอารมณ์ค่อนข้างรุนแรงสูงสุดร้อยละ 25.5 สะท้อนให้เห็นถึงความเครียดจากการดำรงชีวิตในพื้นที่ที่ยังมีความไม่มั่นคง ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ใกล้ชายแดนแต่ไม่ใช่จุดปะทะ มีอารมณ์ค่อนข้างรุนแรงร้อยละ 18.8 เมื่อเปรียบเทียบกับ
พื้นที่ห่างไกล พบว่า ประชาชนในพื้นที่ขัดแย้งและจุดปะทะยังคงมีระดับความเครียดสูงกว่า จึงเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการเฝ้าระวังและการดูแลอย่างใกล้ชิดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
กรมสุขภาพจิตได้ดำเนินการพัฒนาระบบเฝ้าระวังและติดตามสุขภาพจิตของกลุ่มเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้สูงอายุผู้มีอาชีพไม่มั่นคง และผู้ใกล้ชายแดน พร้อมสื่อสารเชิงบวก สร้างความรู้ความเข้าใจ ลดข่าวลวง และเสริมสร้างความร่วมมือในระดับชุมชนผ่าน “วัคซีนใจในชุมชน Safe–Calm–Hope–Care” เพื่อฟื้นฟูความมั่นคงทางจิตใจของประชาชนและสร้างความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ตึงเครียดในอนาคต ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิตขอขอบคุณทุกภาคส่วนและประชาชนที่ให้ความร่วมมือในการสำรวจและติดตามสภาพจิตใจประชาชน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการวางแผนและพัฒนามาตรการดูแลสุขภาพจิตอย่างมีประสิทธิภาพ
********************
3 ตุลาคม 2568