Press ข่าววันที่ 9 สิงหาคม 2566
- วันเผยแพร่
- ฮิต: 1116
กรมสุขภาพจิต “ร่วมสร้างพลังใจ สุขภาพจิตไทยยั่งยืน : Better Mental Health Care for all ” สานพลังภาคีเครือข่าย ร่วมดูแลสุขภาพใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน
วันนี้ (9 สิงหาคม 2566) กรมสุขภาพจิตโดยกองส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพจิต จัดประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างเครือข่ายพลเมืองสุขภาพจิตดีภายใต้ระบบสุขภาพปฐมภูมิ “ร่วมสร้างพลังใจ สุขภาพจิตไทยยั่งยืน Better Mental Health Care for all” ให้สามารถเข้าถึงดูแลช่วยเหลือจิตใจได้อย่างทั่วถึง ครอบคลุมทุกพื้นที่ ณ โรงแรมปรินซ์พาเลช มหานาค กรุงเทพมหานคร ในระหว่างวันที่ 7 – 9 สิงหาคม 2566 มีผู้เข้าประชุมเครือข่ายทั้งในและนอกสาธารณสุข ณ ที่ประชุมกว่า 500 คนและร่วมประชุมผ่านระบบออน์ไลน์กว่า 1,000 คน
แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์และวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพกายและสุขภาพจิต ซึ่งทุกภาคส่วนต่างก็ช่วยกันเร่งแก้ไขปัญหา และให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน โดยมีเป้าหมายร่วมกัน คือ ประชาชนไทยสามารถดูแลตนเองและคนรอบข้างได้ สามารถเข้าถึงระบบบริการและสวัสดิการที่จำเป็นได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนกลุ่มเปราะบางทางสังคม เช่น กลุ่มที่ต้องเผชิญเหตุวิกฤตโดยตรง กลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ กลุ่มผู้สูงอายุติดบ้างติดเตียง กลุ่มผู้พิการ ผู้ที่เจ็บป่วยทุกข์ทรมานจากโรคเรื้อรัง และกลุ่มผู้ป่วยทางจิตเดิมที่อยู่ในชุมชน ซึ่งในสภาวะเช่นนี้อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การเจ็บป่วยทางจิตเช่นการมีภาวะซึมเศร้าหรือตัดสินใจฆ่าตัวตาย ปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นความสูญเสียและนำมาซึ่งความโศกเศร้าต่อครอบครัวและคนในสังคม จำเป็นต้องอาศัยกลไกของระบบสุขภาพปฐมภูมิผ่านกลยุทธ์ในการสร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ตามบริบทและสภาพปัญหาที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ และเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่มิอาจปฏิเสธได้ ต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการทำงานแล้วนั้น แบ่งปันร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงานสุขภาพจิตร่วมกัน ต่อยอดความรู้และประยุกต์ใช้ดูแลสุขภาพจิตของตนเองต่อไป
แพทย์หญิงอัมพร กล่าวต่ออีกว่า ระบบสุขภาพปฐมภูมิ คือ ระบบการดูแลสุขภาพสุขภาพกายและจิตของประชาชนในท้องถิ่น ระดับหมู่บ้านตำบล และอำเภอ ซึ่งถือเป็นฐานรากสำคัญในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขด้วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เชื่อมโยงไร้รอยต่อกันในแต่ละระดับ ได้แก่ อสม. (อาสาสมัครหมู่บ้าน) เจ้าหน้าที่รพ.สต. (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) และ เจ้าหน้าที่รพช.(โรงพยาบลชุมชนหรืออำเภอ) ที่เรียกสั้นๆ ว่า ระบบบริการ 3 หมอ นั้นเอง ดังนั้นหากระบบสุขภาพปฐมภูมิเข้มแข็งจะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงความรู้ด้านสุขภาพจิต โดยเฉพาะกลุ่มป่วยที่มีปัญหาทางสุขภาพจิตและจิตเวช เครือข่ายภายใต้ระบบสุขภาพปฐมภูมิจะมีส่วนสำคัญในการช่วยค้นหาและให้การดูแลผู้ป่วยในชุมชน ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการและการช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึง รวดเร็ว ตลอดจนติดตามดูแลเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษา รับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ลดปัญหาเรื่องการขาดยา และอาการกำเริบ รุนแรง ทำให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้ เป็นที่ยอมรับและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ จากการขับเคลื่อนการดูแลจิตจิตใจผ่านเครือข่ายพลเมืองสุขภาพจิตดี มีการขับเคลื่อนผ่านคณะอนุกรรมการประสานงานเพื่อการบังคับใช้พระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551 ระดับจังหวัด ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ ขณะที่มีอำเภอภายใต้กลไก พชอ./พชข. ร่วมดูแลจิตใจประชาชนตามบริบทของแต่ละพื้นที่มากถึง 864 อำเภอ และ 50 เขตใน กทม. คิดเป็นร้อยละ 98.59 มีคนที่ได้รับการดูแลทางสังคมจิตใจภายใต้กลไก คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.)/คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับเขต (พชข.) จำนวน 51,676 คน กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสฆ่าตัวตาย ได้รับการเฝ้าระวังและดูแลช่วยเหลือจากทีม 3 หมอ มากกว่า 3,244 คน ขณะเดียวกันยังมีความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1,168 แห่ง และความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏ/ราชมงคลที่ร่วมขับเคลื่อนระบบดูแลช่วยเหลือนักศึกษา 47 แห่ง (ร้อยละ 100) ซึ่งมีนักศึกษาที่ได้รับการดูแลทางสังคมจิตใจแล้วทั้งสิ้น 47,176 คน
กรมสุขภาพจิตยังคงสนับสนุน ให้กำลังใจ ร่วมพัฒนาและสร้างคุณค่า แก่ทีมผู้ดำเนินงานส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
เครือข่ายพลเมืองสุขภาพจิตดี พร้อมขยายการดูแลจากทุกพื้นที่ทั่วไทย
******************** 9 สิงหาคม 2566